IND-AST-IND6DSL ทัวร์อินเดีย มุมไบ ปูเน่ อจันตา เอลโลร่า 6 วัน 3 คืน
฿19,999.00
รหัสทัวร์ : IND-AST-IND6DSL
📸 ไฮไลท์ : มุมไบ – วัดมหาลักษมี – วัดสิทธิวินายัก – เกาะช้าง – ปูเน่ – วัดศรีวิฆเนศวา เมืองโอซาร์ – วัดศรีคีรีจัตมา เมืองเลนยาดรี
– ออรังกาบัด– ถ้ำอะจันตา– ป้อมดาลาตาบัด – ถ้ำเอลโลล่า – บีบี กา มักบารา
📆 ระยะเวลา : 6 วัน 3 คืน
🗓 วันเดินทาง : 12ธ.ค.60 – 17ธ.ค.60
19ธ.ค.60 – 24ธ.ค.60
26ธ.ค.60 – 31ธ.ค.60
16ม.ค.61 – 21ม.ค.61
23ม.ค.61 – 28ม.ค.61
30ม.ค.61 – 04ก.พ.61
06ก.พ.61 – 11ก.พ.61
20 in stock
Description
สายการบิน / เครื่องบิน
- สายการบิน : ไทยไลอ้อนแอร์
- เที่ยวบิน : VSL218
- หมายเหตุ :
สถานที่นัดพบ / เวลาออกเดินทาง
- 23.30 น. : สมาชิกทุกท่านพร้อมกัน ณ สนามบินดอนเมือง อาคาร 2 (ชั้น3) เคาน์เตอร์สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เคาน์เตอร์ 11-12
- 02.55 น. : ออกเดินทางสู่ มุมไบ ประเทศอินเดีย
โรงแรมที่พัก มาตราฐานโรงแรม 3-4 ดาว
- โรงแรม ORCHID HOTEL
- โรงแรม VITS HOTEL
- หมายเหตุ : โรงแรมอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่พักได้ตามควาเหมาะสม โดยจะเป็นจะเป็นระดับ 4 ดาว ที่เทียบเท่ากับโรงแรมที่ระบุในโปรแกรมทัวร์
- หมายเหตุ : พักห้องละ 2 ท่าน หากพักเดี่ยวเพิ่มห้องละ 4,500 บาท
สิ่งที่ควรเตรียมไปด้วย
เงื่อนไขการชำระเงิน
- ในการจองครั้งแรก มัดจำท่านละ 10,000 บาท หรือทั้งหมด ส่วนที่เหลือชำระก่อนเดินทาง 30 วัน ( ไม่นับรวมวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ )
บริการเสริม
- บริการจำหน่ายซิมมือถือ พร้อมใช้
- บริการแลกเงินกับหัวหน้าทัวร์ด้วยเงินไทยระหว่างการเดินทาง
โปรแกรมทัวร์
วันที่ 1 สนามบินดอนเมือง
23.30 น. | คณะพร้อมกัน ณ สนามบินดอนเมือง อาคาร 2 (ชั้น3) เคาน์เตอร์สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เคาน์เตอร์ 11-12 เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกด้านเอกสารแก่ท่าน |
วันที่ 2 สนามบินดอนเมือง – มุมไบ – วัดมหาลักษมี – วัดสิทธิวินายัก – เกาะช้าง – ปูเน่
02.55 น. | เหิรฟ้าสู่ มุมไบ ประเทศอินเดีย โดยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เที่ยวบินที่ SL218 (เวลาอินเดียช้ากว่าเวลาไทย 1.30 ชั่วโมง ) |
05.40 น. | เดินทางถึง สนามบินมุมไบ นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง รับสัมภาระ จากนั้นนำท่านชมวัดมหาลักษมี (Mahalakshmi Temple) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แห่งเมืองกลหาปุระ สร้างเพื่อถวายพระนางมหาลักษมี เทพแห่งความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งชาวบ้านรู้จักกันในนาม Amba Bai วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า Karandev แห่งราชวงศ์ Chalukya ในศตวรรษที่ 7
จากนั้น เดินทางสู่ วัดสิทธิวินายัก (Sidhivinayak Temple) เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมุมไบ และเป็นวัดที่ นักแสดง นักการเมือง และผู้มีชื่อเสียงในอินเดียให้ความศรัทธาเป็นอย่างมาก ชาวอินเดียมีความเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตหากมีโอกาสก็จะต้องเดินทางมาสักการะพระสิทธิวินายักอวตารปางหนึ่งของ พระพิฆเนศอธิษฐานขอพรจากท่านดังใจต้องการ |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร |
บ่าย | เดินไปยังท่าน้ำตรง GATEWAY OF INDIA เพื่อทำการขึ้นเรือโดยสารเดินทางสู่ “เกาะช้าง” (Elephant Island) หรือ“ฆรบุรี” (เรือไม้ขนาดไซด์บรรจุผู้โดย สารได้ถึง 50 ท่านจะออกจากท่าประมาณทุกๆ ครึ่งชั่วโมงออกจากเกาะไปประมาณ 45 นาที) ภายหลังที่เรือแล่นออกจากท่าน้ำท่านสามารถเก็บบันทึกภาพประตูชัยที่อยู่ติดกับโรงแรมสุดหรูทัชมาฮาล จะได้ชมภาพทิวทัศน์ของท่าเมืองมุมไบตลอดเส้นทางเดินทางท่านจะสามารถเห็นฐานทัพเรือของอินเดียระหว่างทางสู่เกาะด้วย เที่ยวชม ถ้ำช้าง (Elaphanta caves) ตั้งอยู่บนเกาะกลางอ่าวหน้าเมืองมุมไบประมาณ 1500 กว่าปีมาแล้วกษัตริย์ราชวงศ์ไตรกูฏกะปกครองดินแดนที่ราบสูงเผ่าเดคข่านตะวันตกของอินเดียได้มีรับสั่งให้ทำการสร้างถ้ำนี้ขึ้นเพื่ออุทิศถวายเป็นเทวสถานแด่องค์พระศิวะเทพ
จากนั้นนำท่านนั่งรถไฟจิ๋ว ( วิ่งโดยไม่มีคนขับเนื่องมาจากใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการควบคุม) ระยะทางไม่ถึงกิโลเมตรก็ถึงที่หมายรถไฟจะทำการจอดให้ลงพร้อมเดินขึ้นเขาเพื่อไปเยี่ยมชมถ้ำช้างตลอดทางขึ้นจะมีพ่อค้าแม่ค้านำสินของมาวางขายอยู่เกลื่อนกลาดผนังถ้ำส่วนแรกจะเป็นภาพสลักตอน“ศิวนาฎราช” ลักษณะพระศิวะเจ้าทรงแสดงการฟ้อนรำโดยกระบวนท่านาฏยศาสตร์ 108ท่าเพื่อให้อัฎจักรทุกสิ่งในจักวาลเคลื่อนที่ไปอย่างสมดุล (คล้ายกับปราสาทพนมรุ้ง) กลางถ้ำมีประติมากรรมรูปมเหศวรตรีมูรติ“ หรือพระศิว3หน้าหรือรูปปั้น 3 เศียร มีความสูงเกือบ 20 ฟีด (TRIMURTI ) พระพักตร์ตรงกลางเป็นพระศิวะผู้เมตตากรุณาหรือเรียกว่า “ จันทรเศษมูรติ“ พระพักตร์ทางด้านซ้าย จะเป็นพระศิวะปางดุร้ายเรียกว่า “ไภรวะ” พระพักตร์ทางด้านขวา จะเป็นใบหน้าสตรี ซึ่งหมายถึง “พระอุมาภควดี” ซึ่งเป็นอัครมเหสีของพระองค์) ถัดมานำท่านชมความงดงามของภาพ “ROYAL WEDDING“ ระหว่างพระศิวะกับพระอุมา (มีเรื่องเล่ากันว่าก่อนชาติพระอุมาพระนางได้เกิดมาในนามอื่นนั่นคือพระสตีพ่อตาเกิดรังเกียจลูกเขยอีกทั้งพูดจาถากถางดูถูก พระนางสตีจึงทำการโดดเข้ากองไฟเพื่อปกป้องเกียรติของพระสวามี ต่อมาเมื่อพระศิวะทราบจึงแผลงฤทธิ์ทำการสังหารคนที่ทำให้หญิงคนรักต้องจากไปจากนั้นพระองค์ก็แบกศพของนางสตีวิ่งร่ำไห้ไปรอบจักรวาลประดุจ จะขาดใจเมื่อสิ้นนางและพระองค์ก็ไม่ทำการชายตามองหญิงอื่นใดเลยจนกระทั่งพระสตีกลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นเทพธิดาแห่งภูเขาหิมาลัยนามว่าพระอุมา“) ชมภาพพระศิวะปราบอันธกาสูธ( หมายถึงปราบปีศาจแห่งความมืด) ถัดมาด้านข้างตัวถ้ำมีโพรงใหญ่ใต้พื้นเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติเขียวใสคนอินเดียถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะอยู่ใต้ถ้ำ… สมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางกลับเข้าฝั่ง จากนั้น ออกเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงสู่ เมืองปูเน่ เมืองเก่าแก่ที่สำคัญทางวัฒนธรรมของอินเดีย ตั้งอยู่ในรัฐมหาราษฎร์ นำท่านเดินทางเข้าโรงแรมที่พัก |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม
พักค้างคืนที่ปูเน่ ORCHID HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว |
วันที่ 3 ปูเน่ – วัดศรีวิฆเนศวา เมืองโอซาร์ – วัดศรีคีรีจัตมา เมืองเลนยาดรี – ออรังกาบัด
เช้า | รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านออกเดินทางสู่ วัดศรีวิฆเนศวา (Sri Vighneshwar) เมืองโอซาร์ (Ozar) เทวสถานแห่งนี้มีชื่อเสียงมากในเรื่องความงดงามทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะยอดโดมที่เป็นทองคำและความงดงามของพวงมาลัยที่ประดับอยู่ที่ตัวเทวาลัย ตำนานเล่าว่า กษัตริย์อภินันทะประกอบพิธีบูชายัญเพื่อจุติมาเป็นอินทรเทพ พระอินทร์ได้ทราบดังนั้นจึงสร้างวิฆนาสูรเพื่อส่งไปทำลายพิธีกรรมของกษัตริย์ อภินันทะ แต่วิฆนาสูรกลับทำลายพิธีและทำลายทุกอย่างทั้งหมด ทำให้ธรรมะหายไปจากทั้งสามโลก เหล่าฤษีนักบวชจึงอ้อนวอนต่อพระพิฆเนศให้เสด็จมาปราบวิฆนาสูร พระพิฆเนศใช้อำนาจสยบอำนาจทั้งหมดของวิฆนาสูร ทำให้วิฆนาสูรยอมแพ้และถวายตัวต่อองค์พระพิฆเนศเพื่อให้ไว้ชีวิตตน และขอร้องให้องค์พระพิฆเนศใช้ชื่อของตัวเองรวมกับพระนามของพระองค์เพื่อล้างบาปและเป็นบุญกุศลแก่วิฆนาสูร เทวรูปพระพิฆเนศที่นี่จึงถูกขนานนามว่า “ศรีวิฆเนศวร” หมายถึงผู้ขจัดอุปสรรคและภยันตราย จึงเชื่อว่าผู้ที่มาสักการะองค์ศรีวิฆเนศวรก่อนทำการใดๆ จะทำการนั้นได้สำเร็จราบรื่นไร้อุปสรรค จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ วัดศรีคีรีจัตมา (Girijatmaj Temple) เมืองเลนยาดรี (Lenyadri) ขอพรเพื่อให้มีบุตร และ ขอให้บุตรเป็นบุตรอันประเสริฐ กตัญญู เชิดชูวงษ์ตะกูลแก่บิดามารดา ตั้งอยู่ในถ้ำบนภูเขาริมแม่น้ำกุกดี ซึ่งครั้งหนึ่งถ้ำที่ภูเขาแห่งนี้ ได้ขุดเจาะเพื่อเป็นวัดในพระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อม ศาสนาฮินดูก็รุ่งเรืองและภายในถ้ำแห่งนี้ก็เกิดปาฏิหารย์ มีพระพิฆเนศเกิดขึ้นมาทำให้ชาวฮินดูขึ้นมายาตรามหาเทพ จึงทำให้ถ้ำแห่งนี้กลายเป็นถ้ำของพระพิฆเนศ การสักการะองค์พระพิฆเนศ จะต้องขึ้นบันได 283 ขั้น เทวะตำนานแห่งนี้เล่าว่า พระแม่อุมาเทวีอยากมีโอรสมาก จึงได้เดินทางมาที่ถ้ำคีรีจัตมาเพื่อมาทำพิธีปันยากพรต (บุญยักวริตะ) ขึ้นเพื่อเป็นการบูชาต่อพระวิษณุเทพ ตามการแนะนำของพระศิวะเป็นเวลาหนึ่งปี ทำให้พระวิษณุโปรดปราณมาก จึงให้พระกฤษณะไปกำเนิดเป็นบุตรของพระแม่อุมาเทวี จึงเชื่อกันว่า พระพิฆเนศที่ถ้ำแห่งนี้เป็นอวตารปางหนึ่งของพระกฤษณะด้วย การยาตรามายังถ้ำเทวะสถานคีรีจัตมาแห่งนี้ก็เพื่อขอบุตร ซึ่งผลบุญแห่งการยาตรามาแสวงบุญนี้จะทำให้ผู้ที่ยังไม่มีบุตรและมาประกอบพิธีขอบุตรที่นี่จะประสบความสำเร็จสมหวังเสมอ จะได้บุตรที่ดีมีปัญญาหลักแหลมเหมือนดังองค์พระคเนศ ที่บริเวณถ้ำแห่งนี้สามารถชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเมืองเลนยาตรีได้อีกด้วย |
เที่ยง | เที่ยง รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
เดินทางสู่ ออรังกาบัด ระยะทาง 235 กิโลเมตร ใช้เวลา 4 ชั่วโมงระหว่างทางชมธรรมชาติทิวทัศน์ความเป็นอยู่ของคนอินเดีย และวัฒนธรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่อีกเมืองนึงของประเทศอินเดีย |
17.00 น. | ถึง เมืองออรังกาบัด ตัวเมืองมีกลิ่นอายของอารยธรรม และอิทธิพลมุสลิมอยู่ในรัฐมหาราษฏร ออรังกาบัด หมายถึง สร้างโดยมหาราชาตั้งชื่อตามมหาราชาออรังเซป เมืองออรังกาบัดเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว เพราะบริเวณใกล้กับตัวเมืองมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิเช่น ถ้ำอชันตาเอลโลร่า บีบีกามาชค์มาร่าฯลฯ นำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก |
เย็น | รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม
พักค้างคืนที่ออรังกาบาด VITS HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว |
วันที่ 4 ออรังกาบัด – ถ้ำอะจันตา – ช้อปปิ้ง
07.00 น. | รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ ถ้ำอะจันตา ( AJAMTA CAVE ) ตั้งห่างจากเมืองออรังกาบาดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 110 กิโลเมตร ถือเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียถ้ำอะจันตา “ ถ้ำมรดกโลก” (ถ้ำจะทำการปิดให้บริการทุกวันจันทร์) แบ่งออกเป็น 2 ยุคโดยในยุคแรกประมาณศตวรรษที่2ก่อนคริสตศักราช ได้ถูกสร้างออกมาในรูปลักษณะของ” วิหาร” ( วัตถุประสงค์เพื่อปฏิบัติสมาธิ–ของเหล่าพระภิกษุ) และ“เจดีย์“ เพื่ออุทิศแด่องค์พระพุทธเจ้า) มีหลักฐานเป็นภาพเขียนสีน้ำบนผนังที่ถ่ายทอดถึงเรื่องราวชาดกเข้าใจถึงพุทธ ประวัติเพราะมีการใช้ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าโดยตามความเชื่อของชาวเถรวาทยุคที่สองประมาณคริสศตวรรษที่ 5-6 ได้มีการเพิ่มเติมโดยแกะสลักพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์หลายพระองค์บนเจดีย์และบนผนังวิหารในแบบความเชื่อแบบใหม่หรือตามแบบของชาวมหายานถ้ำอะจันตา ( AJANTA CAVES ) ถือเป็นถ้ำที่มีการเจาะเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่จนได้รับเป็น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกที่มีอายุมากกว่า2000ปีและภายในถ้ำก็มีถ้ำมหึมาขนาดใหญ่อีกกว่า 30 ถ้ำ โดยผนังถ้ำมีภาพจิตกรรมฝาผนังที่มีอายุนับกว่า1200 ปี |
เที่ยง | เที่ยง รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น (ใกล้ถ้ำอะจันตา)
นำท่านเข้าชมสถาปัตยกรรมของถ้ำอะจันตาตั้งแต่ถ้ำแรก ถ้ำเบอร์ 2 เป็นถ้ำของฝ่ายมหายานมีชื่อเสียงด้านภาพวาด ส่วนใหญ่เป็นภาพดอกบัว ถ้ำเบอร์ 3 ซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ถ้ำเบอร์ 4 มีความกว้างใหญ่ที่สุดในบรรดาถ้ำทั้งหมด ด้านหน้ามีรูปแกะสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อีกทั้งพระพุทธรูปปางประทับยืน ส่วน ถ้ำเบอร์ 5 ยังทำการก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ถ้ำเบอร์ 6 มีพระพุทธรูปปางแสดงปฐมเทศนาที่มีพระสรีระแตกต่างจากถ้ำอื่นอีกทั้งเป็นหินชนิดเดียวกับถ้ำรอบๆ องค์พระพุทธรูปมีภาพวาดที่ผนังและเพดาน ทางด้านซ้าย ของถ้ำมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า MUSICAL PILLARS (ใช้สันมือกระแทกหรือเคาะที่กลางเสาจะมีเสียงดังกังวาลออกมา) ถ้ำเบอร์ 7 ด้านในของถ้ำ มีพระพุทธรูปแกะสลักที่ผนังถ้ำ ลักษณะคล้ายกับครั้งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แตกต่างจากถ้ำเบอร์ 2 ตรงที่เป็นภาพวาด แต่ที่ถ้ำเบอร์ 7 นี้แกะสลักหินแทน อีกทั้งตรงกลาง ประดิษฐานพระประธานรายล้อมไปด้วยพระพุทธรูป ปางประทับยืน และ เหล่าเทพเทวดา ถ้ำเบอร์ 9 และ 10 เป็นถ้ำของเถรวาท ภายในเป็นห้องโถงสูงยาว มีช่องรับแสงอยู่ด้านบน ถ้ำเบอร์ 11-12-13 ส่วนใหญ่ใช้เป็นที่พักอาศัยไม่มีรายละเอียด เพียงแต่ที่ถ้ำเบอร์ 12 มีองค์พระประธาน ถ้ำเบอร์ 14 เป็นถ้ำเล็กๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันมาใช้เป็นสำนักงาน ถ้ำเบอร์ 16 เป็นของฝ่าย มหายาน มีภาพ พระนางชนบทกัลยานี ที่เพิ่งแต่งงานกับ พระนันทะ กำลังเฝ้ารอพระสวามีกลับมาด้วยความโศกเศร้า ภายหลังจากที่พระพุทธ องค์ทรงพาพระนันทะไปบวชภายในยังมีพระประธานในถ้ำเช่นเดียวกัน ฯลฯ …จนถึงถ้ำสุดท้ายได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางกลับเมืองออรังกาบัดเส้นทางเดิม โดยทางรถ (ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง) อิสระช้อปปิ้ง สินค้าพื้นเมืองของเมืองออรังกาบัด |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตคาร
พักค้างคืนที่ออรังกาบัด VITS HOTEL หรือเทียบเท่า 4 ดาว |
วันที่ 5 ออรังกาบัด – ป้อมดาลาตาบัด – ถ้ำเอลโลล่า – บีบี กา มักบารา – มุมไบ
07.00 น. | รับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ ถ้ำเอลโลล่า (ระยะทาง 30 กม.ประมาณ 1 ชม.) ระหว่างทางผ่านชม “ป้อมเดาลาตาบัด” ป้อมปราการโบราณรอบภูเขาดัลคีรี ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ยารวะและถูกกษัตริย์อลาอุดดินคัลจิ ชาวมุสลิมยึดได้ใน พ.ศ. 1839 กลายเป็นเมืองหลวงอินเดียภายใต้การปกครองของกษัตริย์มุสลิมอยู่พักหนึ่ง ก่อนถูกทิ้งร้างย้ายไปสร้างเมืองออรังกาบัด ชมซากมัสยิดที่ยังเหลือซากเสาจำนวน 106 ต้น ชมป้อมปราการ พระราชวังบนเสาอายุกว่า 700 ปี ถึงถ้ำเอลโลล่า (ELLORA CAVES ) (ถ้ำจะปิดให้บริการทุกวันอังคาร ) ชมความงามที่ยิ่งใหญ่ของหมู่ถ้ำที่เกิดจากการเจาะแกะสลักภูเขาหินทั้งลูกด้วยฝีมือสาวก 3 ศาสนาที่แข่งขันกันคือ ศาสนาฮินดู พุทธ และเชนถ้ำเอลโลร่ามีทั้งหมด 34 ถ้ำ โดยมีการแบ่งออกเป็น ถ้ำทางพุทธศาสนา 12 ถ้ำ ถัดมา 17 ถ้ำคือ เทวาลัยของชาวฮินดู และ วิหารถ้ำลักธิ เชน 5 ถ้ำ สถานที่แห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในปี 1983 ถือเป็นถ้ำที่เกิดจากการแกะสลักภูเขาทั้งลูกออกเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ ศาสนา นำท่านกราบนมัสการ พระพุทธรูปที่มีอายุมากกว่า 1,200 ปี ภายในถ้ำยังมีภาพแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงอีกมากมาย อาทิ องค์พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ พระพิฆเนศ ช้างเอราวัณ อีกทั้งภาพของนางอัปสร เป็นต้น ถ้ำที่ 16 ถือเป็นถ้ำที่อลังการที่สุด เป็นที่ที่มีศิวลึงค์เป็นจุดศูนย์กลาง |
เที่ยง | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางกลับออรังกาบัด ชม บีบี กา มักบารา (BiBiKa Maqbara) สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก สร้างโดยพระโอรสของออรังเซบ ทรงสร้างเพื่อรำลึกถึงพระมารดา พระนาง บีกัมราเบีย อุเด ดาราณี สถาปัตยกรรมลักษณะคล้ายทัชมาฮาล จากนั้นแวะให้ท่านช้อปปิ้ง ซื้อของที่ระลึกตามอัธยาศัย อาทิ เครื่องทองเหลือง ผ้าปักลายโบราณที่จำลอง มาจากผนังถ้ำ อายุ 1,200 ปี และเครื่องประดับลวดลายแปลกตา |
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร แล้วนำท่านเดินทางสู่สนามบินมุมไบ |
วันที่ 6 มุมไบ-สนามบินดอนเมือง
03.00 น. | เดินทางถึง สนามบินมุมไบ แล้วนำท่านเช็คอินเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ |
06.50 น. | ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ เที่ยวบินที่ SL219 |
12.40 น. | เดินทางถึง สนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ |
Reviews
There are no reviews yet.